การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด สำหรับ คุณแม่หลังผ่าคลอด
1. คุณแม่ที่ต้องผ้าคลอดจะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากกว่าคุณแม่ที่คลอดตามปกติ เมื่อคุณแม่รู้สึกตัวหรือยาชาหมดฤทธิ์ก็จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดเป็นสิ่งแรก ถึงแม้คุณแม่จะเจ็บอย่างไรก็ควรพยายามเคลื่อนไหวหรือพลิกตัวบ่อย ๆ เพราะจะช่วยทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวตัวได้ดีขึ้นรวมทั้งป้องกันการเกิดพังผืดระหว่างอวัยวะในช่องท้องกับเยื่อบุช่องบริเวณผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการปวดท้องเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาดได้
2. เมื่อคุณแม่แข็งแรงพอที่จะลุกหรือยืนได้แล้ว อาการเจ็บแผลผ่าตัดจะสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการใช้ผ้ายางยืดแผลผ่าตัดไม่ให้ถูกดึงรั้งจากผนังหน้าท้องที่ยังหย่อนยาน เวลาที่คุณแม่จะเปลี่ยนอิริยาบถก็ค่อย ๆ ทำโดยการงอเข่าเข้าหาตัวก่อนที่จะลุกหรือยืนเพื่อลดความความตึงของหน้าท้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดตึงแผลจะค่อย ๆ ทุเลาลงหลัง 48 ชั่วโมง อาการปวดแผลสามารถทุเลาลงได้ เพียงทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลเท่านั้น
3. คุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าคลอดนั้น ในระยะแรกจะยังอาบน้ำไม่ได้เพราะจะทำให้แผลผ่าตัดเปียก อาจติดเชื้อและเกิดการอักเสบได้ จึงต้องใช้วิธีเช็ดตัวประมาณ 7 วัน หลังจากหมอตัดไหมแล้ววันรุ่งขึ้นก็อาบน้ำได้ ถ้าเย็บไหมละลายก็รอจนครบ 6-7 วัน เปิดแผลแล้วก็อาบน้ำได้เลยตามปกติ แต่หลังอาบน้ำให้ใช้เพียงผ้าสะอาดธรรมดาเช็ดแผล ไม่จำเป็นต้องใช้แอลกอฮอล์ และไม่ต้องไปทำแผลใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนสะเก็ดที่ติดอยู่ที่แผลก็ไม่ควรแกะออก ควรปล่อยให้ลอกไปเองจะดีกว่า (ในปัจจุบันโรงพยาบาลบางแห่งจะใช้ผ้าและปลาสเตอร์ปิดแผลชนิดกันน้ำได้ 2 วัน หลังผ่าตัดคุณแม่ก็อาบน้ำได้ตามปกติ พอครบ 6-7 วันหลังผ่าตัดก็เปิดผ้าเปิดแผลออก ถ้าแผลแห้งสนิทดีก็ไม่ต้องปิดแล้วครับ)
4. ในกรณีที่คุณแม่มีความจำเป็นต้องขึ้นลงบันได เช่น ห้องนอนที่อยู่ชั้นบน คุณแม่สามารถค่อย ๆ เดินขึ้นลงบันไดได้โดยใช้ความระมัดระวังในระยะแรก โดยให้คุณแม่ช่วยประคองไว้ ภายใน 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด ก็สามารถขึ้นลงบันไดได้ค่อนข้างปกติแล้ว คุณแม่จึงไม่ต้องกลัวว่าแผลผ่าตัดจะอักเสบหรือเกิดแผลแยก เพราะคุณหมอเย็บแผลไว้หลายชั้น และบางชั้นก็ใช้ไหมที่ละลายช้า อาจอยู่นานเป็นเดือน ซึ่งพอถึงเวลานั้นแผลก็หายเป็นปกติแล้วครับ (ความจริงแล้วการขึ้นลงบันไดจะใช้กำลังของขาทั้งสองข้างเป็นส่วนใหญ่ โดยมีมือช่วยเกาะราวบันไดเพื่อทรงตัวและผ่อนแรงบ้าง กล้ามเนื้อของผนังหน้าท้องจึงถูกใช้งานน้อยมาก แต่ถ้าเจ็บแผลและสามารถย้ายมานอนชั้นล่างชั่วคราวก่อนจนกว่าจะแข็งแรงก็จะช่วยได้มากครับ)
5. ในช่วงพักฟื้นหลังคลอด คุณแม่ควรได้รับโภชนาการที่เพียงพอเพื่อให้แผลหายเร็วและเตรียมสารอาหารสำหรับสร้างน้ำนมให้ลูกต่อไป ซึ่งอาหารแสลงหลังคลอดนั้นคงมีแต่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และอาหารรสจัดเกินไปเท่านั้น (มีความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าอาหารบางชนิดเป็นอาหารแสลงต่อแผลผ่าตัด เช่น ไข่แดงทำให้แผลไม่เรียบ หรือข้าวเหนียวทำให้แผลเป็นหนอง ซึ่งความจริงแล้วอาหารเหล่านี้ล้วนแต่มีคุณค่าทางโภชนาการ คุณแม่ควรได้รับโภชนาการให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อที่ร่างกายจะได้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม)
6. ควรอยู่ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพราะอากาศที่ร้อนจะทำให้เหงื่อออกมากและเกิดการอับชื้นบริเวณแผล
7. คุณแม่ไม่ควรยกของหนักหรือทำกิจกรรมที่เป็นการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพราะอาจจะทำให้เจ็บแผลได้ รวมถึงการหลีกเลี่ยงท่าบริหารที่อาจเป็นอันตรายกับแผลและไม่ฝึกท่ายืดกล้ามเนื้อจนกว่าแผลจะหายสนิท ถ้าคุณแม่มีแผลฉีกขาดควรรีบไปแพทย์แพทย์
8. สำหรับคุณแม่ที่คลอดลูกคนที่ 2 หลังการผ่าคลอดใหม่ ๆ ควรให้คุณพ่อทำหน้าที่อุ้มลูกไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีที่แผลมากเกินไป
เวลานอนคุณแม่ควรปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้แผลตรงหน้าท้องหย่อนไม่ตึง จะได้ไม่เจ็บแผลมากครับ ส่วนเวลาจะลุกจะนั่งจากเตียงก็ให้ใช้วิธีตะแคงตัวครับ แล้วค่อย ๆ ใช้มือยันตัวลึกขึ้นในท่าตะแคง
9. คุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าคลอดก็ควรรอให้ครบ 20 วันก่อนแล้วจึงเริ่มบริหารร่างกายได้ ไม่ต้องรอให้นานกว่านี้ เพื่อให้ร่างกายกลับมากระชับเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว
10. หากแผลที่เย็บมีอาการอักเสบ บวม แดง และมีอาการปวดมากขึ้น หรือมีหนอง มีกลิ่นเหม็น คุณแม่ควรรีบไปแพทย์ก่อนนัดเสมอ
สำหรับการดูแลตัวเองของคุณแม่ผ่าคลอดในเรื่องอื่น ๆ นั้นจะเหมือนกับคุณแม่ที่คลอดตามปกติทางช่องคลอดครับ เช่น การทำความสะอาด อาหารการกิน การดูแลเต้านม การคุมกำเนิด การมีเพศสัมพันธ์ การตรวจร่างกายหลังคลอด การทำงาน ฯลฯ (หัวข้อด้านบน)
6 วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด
1. ควรดูว่าตัวเองมีไข้หรือไม่ ไข้สูงแค่ไหน เพราะอาจมีการอักเสบจากแผล หรือมดลูกอักเสบ หรืออาการคัดเต้านมก็ทำให้มีไข้ได้ค่ะ
2. สังเกตว่าแผลที่ผ่าตัดมีอาการบวมแดงหรือไม่ ปกติแล้วหลังจากผ่าคลอดแล้วแผลผ่าคลอดจะดีขึ้นเรื่อยๆ เวลาเดินก็อาจจะเป็นบ้างแต่อาการจะค่อยๆหายไปเอง แต่ถ้าเหมือนมีอาการหนักขึ้นให้รีบแจ้งคุณหมอค่ะ
3. เวลาลุกหรือนั่งเตียงให้ตะแคงตัวเท่านั้น ค่อยๆใช้มือยันตัวลุกขึ้นในท่าตะแคงหรือนอนลงก็ควรใช้ท่านี้ เพราะท่านี้จะไม่ทำให้คุณแม่เจ็บแผลมากค่ะ
4. เวลานอนควรปรับเตียงให้หัวสูงขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อให้แผลตรงหน้าท้องหย่อนไม่ตึง จะได้ไม่เจ็บแผลมากค่ะ
5. มดลูกข้างในต้องไม่ปวดมากขึ้น แต่จะรู้สึกว่ามีการบีบตัวของมดลูก เพราะหลังคลอดแล้วมดลูกจะบีบตัวเพื่อกลับสู่อุ้งเชิงกราน ยิ่งให้ลูกดูดนมมดลูกก็จะยิ่งบีบตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมเร็วขึ้น ประมาณ 2 สัปดาห์มดลูกก็จะเข้าสู่สภาพเดิม เมื่อลองคลำดูก็จะไม่พบก้อนมดลูก สิ่งที่ต้องระวังคือการตกเลือดเพราะเป็นเรื่องอันตรายที่สุดสำหรับคุณแม่ผ่าคลอด ถ้ามดลูกบีบตัวไม่ดีอาจทำให้ตกเลือดได้ค่ะ
6. สำหรับคุณแม่ผ่าคลอด หลังจากผ่าคลอดและนอนพักผ่อนในวันแรกอาจจะยังไม่รู้สึกว่ามีน้ำคาวปลาไหลออกมามาก แต่พอลุกขึ้นจากเตียงอาจจะมีน้ำคาวปลาไหลทะลักออกมาพร้อมเลือดเป็นก้อนๆ ซึ่งคุณแม่ไม่ต้องตกใจ นั่นเป็นเรื่องปกติของคุณแม่ผ่าคลอด ไม่ใช่อาการตกเลือด น้ำคาวปลา 3 วันแรกจะมีสีแดงสดและจะค่อยๆจางลงเรื่อยๆ จนน้ำคาวปลาหมดไปเองค่ะ สำหรับคุณแม่ผ่าคลอดน้ำคาวปลาจะน้อยกว่าคุณแม่คลอดเองเพราะตอนผ่าคลอดคุณหมอจะใช้ผ้าสะอาดๆเช็ด และทำความสะอาดเยื่อบุต่างๆในโพรงมดลูกให้แล้วนั้นเองค่ะ
การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอดไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่คิดเลยใช่ไหมคะ ถ้าปวดแผลก็กินยาแก้ปวด และเพียงสังเกตอาการร่วมที่มีความเสี่ยงอื่นๆ แค่นี้การพักฟื้นหลังผ่าคลอดก็จะผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ
References
แม่รักลูกhttp://www.maerakluke.com/topics/6745
FRYNN